หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิโว - ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนทั้งทั้งหลายว่า
วะยะธัมมา สังขารา - สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
อัปมาเทนะ สัมปาเทถะ - ท่านทั้งหลาย จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด
อะยัง ตะถาคะตัสสะ ปัจฉิมาวาจา - นี้เป็นพระวาจามีในครั้งสุดท้าย ของพระตถาคตเจ้า
ปัจฉิมพุทโธวาท (โอวาทสุดท้ายของพระพุทธเจ้า) (สวดมนต์แปลแบบสวนโมกข์, 33)ถ้าจะถามว่าไปบวชเรียนมาแล้ว ได้ธรรมะอะไรติดมามากที่สุด ก็สามารถกล่าวได้ว่าบทปัจฉิมพุทโธวาทนี้ เป็นเรื่องที่น่าสนใจที่สุด และจำบทสวดและแปลได้อย่างแม่นยำมากทีเดียว
แต่ทำไมเราถึงควรรู้ละ? แล้วมันสำคัญไฉน? ทำไมไม่พูดเรื่องหลักธรรมสำคัญอื่นๆ อย่างเช่นอริยสัจ 4 มรรคมีองค์ 8 หรือโอวาทปาฎิโมกข์กันนะ?
คำตอบง่ายๆคือ ผมยังไม่มีปัญญาแก่กล้าจะไปอธิบายเรื่องที่ผมยังไม่เข้าใจได้ถ่องแท้แบบนั้นครับ แหะๆ อุปมาเหมือนกับว่าเรียนมายังไม่ครบคอร์ส เรียนมาแค่ทฤษฎี แต่ภาคปฏิบัติยังไม่มี
และที่ผมคิดว่าสำคัญที่สุดคือ ในความเห็นของผมแล้ว (อาจจะผิดก็ได้นะครับ) สิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสทิ้งไว้ก่อนดับขันธ์ปรินิพพานไป น่าจะเป็นจุดตั้งต้นในการทำความเข้าใจถึงความสำคัญของการศึกษาและปฏิบัติธรรม เพราะถ้าเราเข้าใจจุดนี้แล้ว ผมเชื่อว่าน่าจะช่วยสร้างศรัทธาต่อการปฏิบัติในกาลต่อไป ไม่ว่าจะปฏิบัติเพื่อมุ่งยังความหลุดพ้น หรือกระทั่งการเปลี่ยนแปลงนิสัยส่วนตัวของเราได้ไม่มากก็น้อยทีเดียวครับ
พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่าอะไร?
ในพระพุทธวจนสุดท้ายนี้ สิ่งที่พระองค์ท่านตรัสสอนนั้นฟังดูเรียบง่ายมาก แต่จริงๆนั่นคือแก่นหลักธรรมที่พระองค์สรุปเอาไว้ในประโยคเดียว ซึ่งอาจแปลแบบลวกๆได้ว่า "สังขารทั้งปวงนี้ไม่เที่ยง ดังนั้น ท่านจงไม่ประมาทเถิด"
การแปลแบบข้างบนนี้แบบเรียนพุทธในโรงเรียนมัธยมทั้งหลายเขาเรียนกันอย่างนี้ และท่องเพื่อเอาไปตอบข้อสอบว่า ธรรมะสุดท้ายที่พระองค์สอนนั้น คือ "อัปมาทธรรม" ซึ่งว่าด้วยความไม่ประมาท
ว่าแต่ไม่ประมาทอะไรครับ?
ตรงนี้เป็นช่องโหว่ที่ข้อสอบ (และหนังสือเรียน) ไม่ได้ตอบคำถามว่า อืม ไม่ประมาทอย่างไร? เหมือนกับอย่าประมาทในการขับรถหรือเปล่า? ทำให้ผู้เรียนอย่างเราๆท่านๆ ก็ท่องจำไปตอบข้อสอบโดยไม่รู้ว่าตกลงไม่ประมาทอะไรกันนะ และพาลหลงลืมธรรมะข้อนี้ไปเสีย
ต่อคำถามในข้อนี้นั้น พระอาจารย์ท่านหนึ่งได้สอนว่า การ "ยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม" จริงๆความหมายก็คือ "จงทำให้ความไม่ประมาทเกิดขึ้น" (ซึ่งหมายความว่า ความไม่ประมาทตอนแรกเนี่ย เรายังไม่มีหรอก เราใช้ชีวิตกันอย่างประมาททั้งนั้น จึงต้องทำให้มันเกิดขึ้น)
สรุปสั้นๆเลยก็คือ "จงมีสติทุกเมื่อ" นั่นเอง!
*******
ถามต่อไปอีกว่า แล้วทำไมถึงต้องมีสติทุกเมื่อเล่า?
คำตอบก็คือ เพราะเราควรที่จะทำอะไรซักอย่างเพื่อหลุดพ้นไปจากวัฏสงสารอันน่าเบื่อหน่ายนี้ การมุ่งเพื่อความหลุดพ้นคือแก่นพระพุทธศาสนา ไม่ใช่การทำบุญทำทานเพื่อหวังจะไปเป็นเทวดาในชาติหน้า (พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า มนุษย์เราเกิดมาเนี่ยต่างคนต่างก็ได้เป็นพ่อแม่ ลูก เพื่อน คู่ชีวิต ของคนอื่นๆมานับไม่ถ้วน เวียนไปเวียนมาไม่สิ้นสุด) ต่อให้ได้ไปเสวยสุขในสุคติภูมิ (โลกมนุษย์ สวรรค์ พรหมโลก) ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะไปตกอยู่ในอบายภูมิได้ (นรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน) วนเวียนไปไม่สิ้นสุด
ยัง ยังไม่พอ ถ้าเวียนไปเวียนมาแล้วจับพลัดจับผลูมีชาตินึงเกิดเป็นมนุษย์ เผลอไปฆ่าเจ้ากรรมนายเวรตัวเองที่มาเกิดเป็นพ่อแม่ตน ก็ถือว่าประมาทจนก่ออนันตริยกรรมเกิดขึ้น (กรรมหนักที่สุดในกระบวนกรรมทั้งหมด) ลองคิดดูเอาว่าจะต้องตามไปเสวยทุกขเวทนากันขนาดไหน
ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่เราประมาทในชีวิต ประมาทว่ามันคงไม่มีอะไรแบบนี้หรอก หรือประมาทว่ายังเหลือเวลาอีกเยอะ ไว้แก่แล้วค่อยมาคิดเรื่องพวกนี้
จริงๆสุดท้ายแล้ว พระพุทธเจ้าท่านหวังให้สัตว์โลกได้มีโอกาส "เจริญสติ" เพื่อเป็นเหตุให้ใกล้กับปัญญาในการพิจารณาความไม่เที่ยง ความเปลี่ยนแปลง และความไม่มีตัวตนของสรรพสิ่ง เพื่อความหลุดพ้น ซึ่งการเจริญสตินี้ถือได้ว่าเป็นการไม่ประมาทในชีวิต เหมือนเป็นหลักประกันได้ว่าถ้าท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ด้วยการมีศรัทธา มีศีล และปฏิบัติจริงๆจังๆแล้ว ก็จะไม่ต้องลงไป "วัดดวง" ในอบายภูมิ และวนเวียนอยู่แต่ในสุคติภูมิจนกว่าจะได้หลุดพ้นกันจริงๆ (เช่น พระโสดาบัน)
ดังนั้น ที่ต้องมีสติก็เพื่อมิให้เผลอไผลไหลตามวงเวียนชีวิตเหล่านี้ และจะดียิ่งถ้าพยายามฝึกให้ได้ตลอดเวลา
Countdown ชีวิต
เมื่อกี้เพิ่งอธิบายแค่ท่อน "ไม่ประมาท" เท่านั้นครับ ยังไม่ได้อธิบายท่อน "สังขารมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา" เลย
พูดง่ายๆก็คือ สังขาร (ร่ายกาย จิตใจ) ของเราทุกวันนี้ มันมีเกิดดับตลอดเวลา และจะตายวันตายพรุ่งก็ยังไม่รู้
ขอให้ลองนึกดูเอาไว้ในทุกวันเกิดของเรา นอกจากจะเป็นวันรำลึกการเฉียดตายของคุณแม่ของเราแล้ว ก็ยังเป็นวันที่ชวนให้เรานึกถึง "เวลาที่ยังเหลือ" ของพวกเราอีกด้วย
เปรียบเหมือนนาฬิกาจับเวลา เราเหลือเวลากันน้อยลงทุกทีๆไปแล้ว เหมือนกับที่ท่านสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชท่านได้เขียนเอาไว้ในหนังสือเล่มบางๆน่ารัก ชื่อ "ชีวิตนี้น้อยนัก" ว่า ชีวิตมนุษย์นี้สั้นนัก พวกเราได้ทำอะไรดีๆเอาไว้กันบ้างหรือยังนะ?
เมื่อเราเข้าใจความหมายของท่อน "สังขารไม่เที่ยง" และ "จงมีสติอยู่เสมอ" แล้ว ก็จะเข้าใจได้ในทันทีว่า ที่พระพุทธองค์พูดมานั้น ชอบแล้วด้วยเหตุผล ชอบแล้วด้วยการโน้มน้าวบุคคลให้ใฝ่หาทางหลุดพ้น!
"เพราะชีวิตทุกวันนี้เหลืออยู่น้อยนัก ก็จงรีบเจริญสติกันเถิด เพราะหลังจากนี้ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันในชีวิตได้อีกแล้วว่าจะไปเจออะไรหลังจากสิ้นลมกันไปแล้ว!"
*******
ถ้าดูในพระพุทธวจนะ (คำสอนจากพระโอษฐ์) ของพระพุทธเจ้าก็จะพบว่า พระองค์พูดถึงความน่ากลัวของความประมาทนี้ ผ่านการพูดถึงความยากลำบากในการเกิดมาเป็นมนุษย์!
- ท่านตรัสว่า อันปกติมนุษย์ที่บังเกิดมาแล้วนั้น มีอยู่เพียงฝุ่นธุลีดินจากทั่วทั้งพื้นปฐพีบนโลก ที่จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง! (สรุปจาก อริยสัจจากพระโอษฐ์ภาคต้น, พุทธทาสภิกขุและกองตำราคณะธรรมทาน, 7)
- ท่านตรัสว่า การบังเกิดขึ้นเป็นมนุษย์ของสัตว์จำพวกวินิบาต (สัตว์ที่ห้ำหั่นเคี้ยวกินกันเอง) นั้นยากนัก ยากยิ่งกว่าโอกาสที่เต่าตาบอดกลางมหาสมุทรที่ร้อยปีจะโผล่หัวมาพ้นน้ำสักที แล้วจะเอาหัวนั้นเข้าไปในกระบอกไม้ไผ่ที่ลอยเคว้งอยู่กลางมหาสมุทรนั้น! (สรุปจาก อริยสัจจากพระโอษฐ์ภาคต้น, พุทธทาสภิกขุและกองตำราคณะธรรมทาน, 101 - 102)
แล้วน่ากลัวอย่างไรเล่า - บางคนอาจจะคิดอย่างนั้น (เพราะบางคนอาจไปเสวยบุญเป็นเทวดา พรหม นิ)
ที่มันน่ากลัวก็เพราะอย่างที่บอกไปแล้ว ไปเป็นเทวดาหรือพรหม พอหมดบุญก็จะต้องไปภพภูมิอื่น อย่างดีก็เป็นมนุษย์ อย่างเลวก็อบายภูมิ ก็วนเวียนไปแบบงงๆต่อไป น่าเสียดายโอกาสที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
และที่สำคัญก็คือ การเกิดเป็นมนุษย์นั้นสามารถสะสมบุญ รวมถึงเจริญภาวนาได้ดีกว่าเทวดา (เทวดาทำบุญไม่ได้ เจริญภาวนาไม่ได้เพราะรู้แต่ความละเอียดประณีต ต้องคอยอนุโมทนาจากมนุษย์เวลาทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา) ดังนั้นถ้าใครเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วไม่ทำสิ่งเหล่านี้ นอกจากจะถือว่า "เสียชาติเกิด" แล้ว ยังอาจนำไปสู่อบายภูมิอื่นๆอีกต่อไปไม่สิ้นสุดก็ได้
ดังนั้น การที่มนุษย์เรามีโอกาสน้อยที่จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง จึงน่ากลัวอย่างประมาณไม่ได้เลย!
เรื่องพวกนี้มีจริงหรอ?
บางคนอาจบอกว่า เห่ยเรื่องแบบนี้จะจริงหรอ ถ้าภพภูมิอะไรนี่ไม่มี ชีวิตนี้มีชีวิตเดียว การ "เจริญสติ" หรือแม้แต่ทำความดีนี่มันจะคุ้มกันหรอ???
เรื่องนี้ขอหยิบยืมความคิดของนักคณิตศาสตร์ชาวตะวันตก (Pascal) มาตอบครับ (http://en.wikipedia.org/wiki/Pascal's_Wager)
แนวคิดนี้ Pascal ได้ใช้ตารางแมทริกซ์แบบ 2 คูณ 2 เพื่อมาหาดูว่า อืม ทางเลือกที่ดูสมเหตุสมผล (rational) ในการใช้ชีวิตบนโลกนี้นั้นคืออะไร โดยที่มีความไม่แน่นอนว่าจะมีพระเจ้าอยู่หรือไม่ (ตรงนี้เราแทนค่าพระเจ้าตามแนวคริสตศาสนาด้วยภพภูมิครับ) และผลปรากฏก็คือ
- หากภพภูมิมีจริง และเราเชื่อ (ปฏิบัติดี เจริญสติ) ผลที่ได้จะประมาณค่ามิได้ (หลุดพ้น/ไม่ไปสู่อบายภูมิ)
- หากภพภูมิไม่มีจริง และเราเชื่อ ผลที่ได้คือเราอาจเสียเปรียบในชีวิต (เสียโอกาสได้ประโยชน์จากการเบียดเบียนคนอื่น เช่น โกงเงิน) แต่ก็ไม่แน่ว่าจะเสียเปรียบ เพราะอาจจะถือว่า "ทำดีเสมอตัว"
- หากภพภูมิมีจริง แต่เราไม่เชื่อ (ไม่ปฏิบัติดี หรือไม่เจริญสติ) ผลที่ได้คือเสียหายอย่างประมาณค่าไม่ได้
- หากภพภูมิไม่มีจริง แต่เราไม่เชื่อ ผลคือเราได้กำไรในชีวิต (จากการเบียดเบียนคนอื่น - แต่ก็ไม่แน่เสมอไป อาจจะโดนคนอื่นแก้แค้น เดือดร้อนกว่าเก่าก็ได้)
ประเด็นคือ Pascal ให้ค่าอินฟินิตี้ กับ เลข 1 แทนจำนวนในการวิเคราะห์ครั้งนี้ ดังนั้นความเสี่ยงที่จะได้รับโทษจากการไม่เชื่อมีมากกว่าการเชื่อ (และปฏิบัติ - วัดจากค่าอินฟินิตี้) ซึ่งจะเห็นได้ว่าการที่เราเชื่อนั้น สมเหตุสมผลกว่าการไม่เชื่อ ไม่ว่าจะมีภพภูมิ (พระเจ้า - ในบริบทที่ Pascal ใช้วิเคราะห์) จริงหรือไม่ครับ!
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าจะมีข้อถกเถียงจากบางคนต่อการวิเคราะห์นี้ของ Pascal ก็ตาม แต่โดยส่วนตัวคิดว่าตัวอย่างนี้ก็น่าจะพอเป็นคำอธิบายที่พอใช้ได้สำหรับการตอบคนที่ไม่เชื่อเรื่องนี้ครับ
และอันที่จริง ถ้าคนที่ไม่เชื่ออยากจะพิสูจน์ว่าเรื่องแบบนี้มีจริงหรือไม่ เจริญสติแล้วหลุดพ้นหรือเปล่า ลงท้ายแล้วการพิสูจน์ก็คือการได้ลองมาเจริญสตินั่นแหละครับ ถือเป็นการทำการทดลองจริงๆ มากกว่าการนั่งคิดตามหลักตรรกะเหตุผล ซึ่งพระพุทธเจ้าเองก็ตรัสเอาไว้แล้วว่า บุคคลล้วนไม่อาจเข้าถึงธรรมได้หากใช้ตรรกะเหตุผลในการขบคิด
ตัวอย่างนี้จึงมีไว้เพื่อทำให้ผู้สงสัยได้คลายสงสัย มิใช่ความจริงแท้เชิงพุทธะใดๆครับ
บทส่งท้าย
เขียนมาทั้งหมดนี้เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า พระพุทธโอวาทสุดท้ายนี้นั้นเสมือนเป็นการ "กระตุ้นเตือน" ให้เราๆท่านๆอย่าได้หลงใหลในทางสุดโต่งทั้งสอง (ความยึดติดในกามสุข และความยึดติดในการปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นแบบสุดโต่ง) และให้ "ยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม" (เจริญสติ) อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนในชีวิตร่างกายจิตใจในการเป็นมนุษย์ของเรานี้
ส่วนวิธีการปฏิบัติ อันนี้ต้องเริ่มจากการศึกษา ขวนขวาย ของเราทุกคนเองครับ (ก็ไปศึกษาได้จากส่วนอื่นๆที่พระองค์เคยสอน หรือไปเรียนจากครูผู้รู้ต่างๆ)
แต่จะเห็นได้ว่า โอวาทสุดท้ายของพระองค์ ครอบคลุมสาระสำคัญของการเป็นมนุษย์ จึงมีประโยชน์อย่างยิ่งในการศึกษา และทำความเข้าใจในฐานะ "จุดตั้งต้น" สำหรับการปฏิบัติธรรม หรือหันกลับมาพิจารณาตนเอง และเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดี ที่เป็นสัมมา
พวกเราทั้งหลาย จึงควรยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด!