วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ข้อมูลการบวชวัดชลประทานฯแบบละเอียด (Part 3: เกร็ดเล็กน้อยจากการบวช (จบ) )

หลักจากตอนที่แล้ว (http://botsleepyboyz.blogspot.com/2014/06/part-2.html) ได้พูดถึงกิจวัตรประจำวันของพระนวกะ (พระบวชใหม่) ที่วัดชลประทานฯไปพอสมควรแล้ว คราวนี้ก็จะขอพูดถึงเกร็ดเล็กๆน้อยๆจากการบวชครับ เผื่อว่าจะเป็นความรู้ประดับไว้ หรือเผื่อว่าใครสนใจไปบวชก็จะได้ทำความเข้าใจแต่เนิ่นๆก็น่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยทีเดียว

(1) ไตรจีวร

จริงๆแล้วพระสงฆ์จะมีผ้าสามผืนไว้ห่มคลุมกาย อันได้แก่ 1)สบง (ผ้านุ่ง) 2)จีวร (ผ้าห่มคลุมร่าง) 3)สังฆาฎิ (ผ้าห่มคลุมเวลาอากาศหนาว) ซึ่งผ้าสังฆาฎิจะมีขนาดเหมือนจีวร และในเมืองไทยจะเอามาพาดไว้ที่ไหล่ซ้ายแล้วคาดด้วยผ้าอีกชั้น ใส่ไว้สำหรับเวลาลงอุโบสถ หรือโอกาสสำคัญๆครับ

สำหรับผ้าที่เป็นเหมือนเสื้อพระที่เรียกว่า อังสะ (หรือเสื้อตัวในของพระ) นั้นไม่ได้รวมอยู่ในไตรจีวรครับ แต่ก็จะใส่กันเอาไว้ครับ เวลาพระกวาดลานวัดก็จะใส่อังสะแทนห่มจีวรด้วย 

เวลาซักจีวรนี่พูดตรงๆเลยครับว่า เมื่อยมือมากกว่าจะบิดให้หมาด แต่ตอนตากนี่ลมพัดแป๊บเดียวก็แห้งแล้ว และตามหลักของศีล 227 ข้อแล้วห้ามตากข้ามคืนไว้กลางแจ้งครับ (เหตุผลคือกลัวเปียกแล้วไม่มีใส่) และถ้าจะตากข้ามคืนให้ตากในที่ร่ม และต้องรีบเก็บก่อนตะวันจะขึ้น มิฉะนั้นจะต้องอาบัติฐานไม่รักษาจีวรให้ดี ซึ่งกฏนี้เดาว่าเพราะในสมัยพุทธกาลผ้าหายาก พระเลยต้องรักษาให้ดีๆครับเพื่อประหยัดทรัพยากรที่มีอยู่ ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมต้องการจีวรใหม่ที่ประณีตกว่ามาใส่

ส่วนการนุ่งจีวรนี่เรียกได้ว่ากว่าจะนุ่งเป็นก็ท้อแท้ไปหลายตลบ และกว่าจะคล่องก็ตอนจะสึกเรียบร้อยแล้ว ส่วนเวลาดูพระอาจารย์ท่านนุ่งนี่เรียกได้ว่าจบมาจากสำนักเดียวกันเลยครับ เวลาห่มจังหวะสุดท้ายนี่เหมือนกันทุกรูปเลยทีเดียว และลักษณะการนุ่งแบบนี้พวกเราก็แซวกันว่าเป็นการนุ่งจีวร "แบบเดฟ" ซึ่งหลังๆพวกเราก็ฝึกหัดกันจนชำนาญขึ้นเพราะมันนุ่งแล้วมั่นใจว่าจะไม่หลุดกว่าห่มแบบโคร่งๆมากมายจริงๆ 55

การห่มจีวรนั้นจะมีการห่มด้วยกันสองแบบ แบบแรกคือ "ห่มเฉวียงบ่า" คือการห่มแบบปกติของพระครับ ที่จีวรจะสะพายแล่งจากไหล่ซ้ายลงไปรักแร้ขวา กับอีกแบบคือ "ห่มคลุม" คือการห่มแบบปกคลุมทั้งกายรวมถึงไหล่ขวา ซึ่งมักจะใช้ห่มตอนบิณฑบาตร หรือเดินทางไกลๆครับ แต่ทั้งสองแบบจะมีเทคนิคการห่มแบบเดียวกัน เรียกได้ว่าถ้าจับเคล็ดได้แล้วก็นุ่งห่มได้ทั้งสองแบบเองแหละครับ

             

                       ห่มแบบเฉวียงบ่า                                               ห่มแบบคลุม

(2) สังฆทาน

เรื่องนี้เป็นประเด็นฮอตฮิตมากของที่นี่ เรียกได้ว่าถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่หลวงพ่อท่านได้เทศนาเรื่องนี้ให้กับญาติโยมตลอด (ส่วนของพระนวกะเรานี่ครั้งเดียวก็เดินพอครับ) โดยจริงๆแล้วคำว่าสังฆทานนั้นหมายถึง การทำทานให้กับหมู่คณะครับ (สังฆะ แปลว่า หมู่คณะ) ซึ่งภาพในหัวขมองของเราก็มักจะคิดไปว่า เอ้อ ถวายสังฆทานคือการซื้อถังสีเหลืองๆ ใส่ของต่างๆนานาในนั้นจากร้านค้า แล้วเอาไปถวายวัดกะว่าพระท่านขาดเหลืออะไรก็จะได้ใช้ตามสมควร

แต่ปัญหาคือ เจตนาคนทำน่ะดี แต่ของที่พระได้รับไปนั้นได้ใช้จริงๆหรือไม่หนอ...

เรื่องของเรื่องก็คือ ของส่วนใหญ่ที่มาในถังสีเหลืองๆที่ขายตามร้านนั้น พระท่านได้ใช้จริงๆไม่กี่อย่างเท่านั้นครับ ของพวกเครื่องดื่มชงๆ (เก๊กฮวย มะตูม) เห็นเป็นกล่องแต่ข้างในมีอยู่หนึ่งซองสองซอง ที่ร้ายที่สุดก็คือผ้าอาบน้ำของพระครับ พระอาจารย์แกะออกมาจากถังให้ดูก็พบว่า อืม มันกว้างแค่ครึ่งหนึ่งของที่เราใช้กันนี่หว่า แล้วงี้พระท่านจะใช้นุ่งอาบน้ำกันจริงๆยังไงละนั่น เรียกได้ว่าพอมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าไม่ไหวจะเคลียร์แล้วกับถังพวกนี้ครับ

(มีพระรูปอื่นจากวัดอื่นก็นำมาแสดงให้ดูเหมือนกันครับ ตามนี้ http://www.youtube.com/watch?v=4uhuUt_F1d8 )

จริงๆแล้วเคล็ดของการทำสังฆทานก็ไม่น่าจะต่างจากทานทั่วๆไปหรอกครับ คือ ขอแค่เจตนาคนทำดีทั้งก่อนจะทำ ตอนทำ หลังทำ และที่สำคัญที่สุดคือการมี "ปัญญา" เพียงพอที่จะเล็งเห็นว่าทานที่เราทำไปนั้น จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้รับได้อย่างไร เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกเลยครับที่ทางวัดจะได้รับสังฆทานมาเป็นกระดาษทิชชู่ ถุงขยะสีดำ อุปกรณ์ทำความสะอาด น้ำยาล้างจาน น้ำปานะ หรือปัจจัย ฯลฯ เนื่องจากว่าคนทำสังฆทานเค้ารู้ว่าพระท่านจำเป็นต้องใช้สิ่งของเหล่านี้ครับ อย่าไปยึดติดว่าทำสังฆทานต้องซื้อถังเหลือง ผมแนะนำว่าให้เราลิสต์รายการเองครับว่าพระท่านต้องใช้สอยของอะไรบ้าง จากนั้นก็ไปซื้อมาถวายเท่านั้นเองครับ คราวนี้แหละพระท่านได้ใช้ชัวร์ๆ

อีกเรื่องที่น่าสนใจก็คือ การทำสังฆทานแบบไม่เจาะจงตัวบุคคลนี่พระท่านบอกว่าได้อานิสงส์มากกว่าการทำบุญเฉพาะเจาะจงตัวบุคคลครับ และถ้าเป็นไปได้ การทำบุญแก่คนหมู่มากไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม (ทำทานทั่วไปกับสถานสงเคราะห์ บริจาคเลือด ฯลฯ) ก็มีอานิสงส์ประมาณสังฆทานนี่แหละครับ ซึ่งถ้ามองในมุมเศรษฐศาสตร์เรื่องการจัดการทรัพยากร ผมว่าการทำทานให้กับคนหมู่มากนี่น่าจะมีประโยชน์ต่อสังคมมากๆครับ เพราะเมื่อคนเหล่านั้นได้รับทานมาแล้ว เขาก็มีกำลังพอที่จะทำประโยชน์ให้กับคนอื่นๆในสังคมต่อไปไม่สิ้นสุด ฉะนั้นถ้าทำสังฆทานกับพระแล้ว ก็อย่าลืมทำ "ทานหมู่คณะ" ในรูปแบบต่างๆดังนี้ด้วยก็จะเป็นการช่วยเหลือสังคมได้มากเลยละครับ

(3) ศีล 227 ข้อ

ตอนเด็กๆ ผมมักจะสงสัยเสมอว่า เอ๊ะ เราๆท่านๆมี ศีล 5 ให้รักษานี่ก็น่าจะครอบคลุมแล้วนะ พระท่านถือตั้ง 227 ข้อนี่คือมันจะมีอะไรให้รักษาอีกละเนี่ย แต่ก็ลืมๆไปไม่ได้คิดอะไรขึ้นมา

จนกระทั่งบวชเรียน

พออ่านหนังสือ "นวโกวาท" (โอวาทของพระนวกะ) เลยมาถึงบางอ้อครับว่า จริงๆแล้วศีล 227 ข้อเนี่ยไม่ได้พิสดารพันลึกอะไรเลย กลับเรียบง่ายและชวนให้ย้อนกลับมาดูตัวเองตลอดเวลาที่เป็นฆราวาสด้วยซ้ำ

ข้อใหญ่ใจความจริงๆก็คือ ในสองร้อยกว่าข้อนั้น ที่เหลือหลักๆแล้วคือ "การวางตัวของพระภิกษุ" ในอิริยาบถต่างๆเท่านั้นครับ

มาดูตามบทใหญ่ๆของศีล 227 ข้อกัน

- ปาราชิก 4 (ละเมิดแล้วขาดจากความเป็นพระ) ได้แก่ เสพเมถุน เอาของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้มา แกล้งฆ่ามนุษย์ให้ตาย อวดอุตริมนุสสธรรม ที่ไม่มีในตน

- สังฆาทิเสส 13 (ละเมิดแล้วต้องอยู่กรรม - กักบริเวณ) เช่น แกล้งทำน้ำอสุจิเคลื่อน มีความกำหนัดแล้วจับต้องกายหญิง/พูดเกี้ยวหญิง ฯลฯ

- นิสสัคคียปาจิตตีย์ 30 (ละเมิดแล้วต้องปลงอาบัติกับพระรูปอื่น) ในบทนี้จะเน้นเรื่องการรักษาจีวร การรับเงินทอง การซื้อของด้วยเงินทอง และการรักษาบาตร

- ปาจิตตีย์ 92 (ละเมิดแล้วต้องปลงอาบัติ) ในบทนี้จะว่าด้วยเรื่องการสำรวมในวาจา ความประพฤติ การรับประทาน การไม่ฆ่าสัตว์ การสำรวมในอารมณ์ต่างๆ ตลอดจนการนุ่งห่มจีวร

- อธิกรณสมถะ 7 (เป็นข้อถกเถียงว่าด้วยช่องโหว่ของศีล 227 ข้อ เช่น เกิดเหตุที่พระภิกษุทำการใดๆที่เหมือนจะเป็นการไม่สมควร แต่ไม่ได้ระบุไว้ตรงๆในศีล ต้องให้หมู่สงฆ์พิจารณา)

จะเห็นว่า หลักๆที่ต้องรักษาเอาไว้คือ ศีล 10 การดูแลรักษาเครื่องบริขาร (จีวร บาตร) และการสำรวมระวังในความประพฤติและอิริยาบถต่างๆครับ สองร้อยกว่าข้อที่เพิ่มขึ้นมา ก็มาจากสองส่วนหลังนี่แหละครับ

แล้วทำไมพระภิกษุต้องสำรวมระวัง หรือต้องดูแลเครื่องบริขารกันขนาดนั้น?

อย่างแรกเลยก็คือ เครื่องบริขารในสมัยพุทธกาลนั้นหายาก (ลองคิดถึงสังคมเกษตรกรรมครับ กำลังแรงงานไม่ค่อยมี แถมไม่มีเครื่องจักร จะปลูกฝ้าย ทอผ้ากันได้ผ้าซักผืนนั้นจะยากลำบากขนาดไหน) ฉะนั้นการดูแลรักษาจึงเป็นเรื่องจำเป็นมากๆ เพราะของมีจำกัดจริงๆ ถ้าไม่ระวังก็ไม่มีใช้ครับ ก็ไปลำบากเดือดร้อนญาติโยมเขาอีก ซึ่งอีกนัยหนึ่งคือการฝึกให้รู้จักความสมถะครับ ไม่ไปหวังลาภผลว่าญาติโยมเขาจะมาถวายให้ มันก็ไปลำบากเขาอีกต่อนั่นแหละ

อีกเรื่องก็คือ พระภิกษุพึงสำรวมระวังความประพฤติก็เพื่อให้เป็นที่เลื่อมใสต่อผู้คนทั่วไป ถ้าประพฤิติทั่วไปแบบฆราวาสแล้ว เวลาสั่งสอนธรรมอะไรฆราวาสทั่วไปก็คงไม่เคารพ ไปน้อมนำเอาพระธรรมเข้ามาใส่ตัวแน่ๆ และที่สำคัญที่สุดคือ การสำรวมระวังกาย วาจา ใจ นี้คือการปฏิบัติธรรมของพระภิกษุสงฆ์ในตัวครับ ให้มีสติอยู่กับตัวเองตลอดเวลาอีกด้วย

ถ้าพูดง่ายๆเลยก็คือ ศีล 227 ข้อนี้มีไว้ให้สำหรับพระปฏิบัติเพื่อเป็นการ "ปฏิบัติธรรม" ตลอดเวลา อันเป็นเหตุปัจจัยให้ใกล้กับการปฏิบัติในขั้นสูงๆต่อไปนั่นเองครับ

(4) นิสสัคคียปาจิตตีย์

ที่แยกออกมาเป็นอีกหัวข้อเพราะสำคัญครับ พระนวกะหลายๆท่านอาจจะมีโอกาสเผลอแบบผมเมื่อครั้งตอนบวชวันแรกๆครับ แถมขั้นตอนการปลงอาบัตินี่ซับซ้อนกว่าปาจิตตีย์เล็กน้อย เลยขอเพิ่มเติมเพื่อจะได้ไม่ทำผิดพลาดเมื่อบวชเข้าไปแล้วครับ แหะๆ

ข้อแรกที่มีโอกาสผิดกันมากคือ เวลาตากจีวรครับ ปกติแล้วบวชพระก็จะมีจีวรอยู่สองชุด ชุดที่เรานุ่งเข้าไปบวชในอุโบสถเรียกว่า "ชุดครอง" ขณะที่จีวรสำรองอีกชุดจะเรียกว่า "อติเรกจีวร"

แล้วเกี่ยวอะไรกับการตากผ้าละฮึ???

เกี่ยวกันครับ เพราะปกติเวลาบวชแล้วต้องซักชุดครองของเรา การตากผ้าข้อควรห้ามคือ อย่าได้ตากกลางแจ้งตอนกลางคืนเป็นอันขาด และถ้าตากกลางคืนก็ต้องตากในที่ร่ม และต้องเก็บก่อนตะวันขึ้น มิฉะนั้นแล้วก็จะผิดศีลข้อนี้ไปครับ ซึ่งเหตุผลก็คือพระภิกษุมีหน้าที่ต้องดูแลรักษาเครื่องบริขารให้ดีครับ ถ้าหายไปแล้วก็จะเกิดเหตุการณ์ขัดแย้งกับบุคคลอื่นๆ ทำให้เกิดโทสะต่อกัน และอาจเป็นเหตุให้เกิดความรุนแรง หรือความเดือดร้อนต่อผู้อื่นอีกก็เป็นได้ (โดยเฉพาะญาติโยมที่จะหามาถวายใหม่) ดังนั้นต้องรักษาไว้ใ้ห้ดีครับ

ถ้าตากชุดครองแล้วลืมเก็บก่อนตะวันจะขึ้น (อารมณ์ว่าวันนั้นใส่อติเรกจีวรแทน) วิธีแก้คือต้องกล่าวคำสละชุดครองนั้น และให้พระรูปอื่นกล่าวคำคืนผ้าชุดนั้นแก่เรา จากนั้นเราก็มาอธิษฐานผ้า ทำพินทุผ้า แล้วค่อยปลงอาบัติครับ (ขั้นตอนเยอะจริงๆ)

อีกอย่างหนึ่งที่อาจจะพลาดกันคือ ตามหลักแล้วพระห้ามใช้ หรือเก็บอติเรกจีวรเพื่อใช้ไว้เกิน 10 วันครับ ถ้าเกินก็โดนกันไป วิธีแก้ก็คือให้กล่าวคำสละผ้า แล้วให้พระรูปอื่นกล่าวคำคืน จากนั้นเราก็อธิษฐานผ้า ทำพินทุผ้า และปลงอาบัติครับ (ขั้นตอนเดิมเลย)

แต่ถ้าใครเก็บอติเรกจีวรไว้เกือบจะสิบวัน แนะให้ทำการสละผ้า รับคำคืนผ้า อธิษฐานผ้า และพินทุรอไว้เลยครับ (ซึ่งจริงๆถ้าจะเอาเป๊ะตามพระวินัย แบบนี้ก็ผิดครับ เพราะพระสมัยก่อนจริงๆก็น่าจะมีแค่ชุดครองเท่านั้นเอง ปกติแล้วจะเอาสังฆาฎิมาใช้แทนกันกับจีวรธรรมดาครับ แต่สมัยนี้อนุโลมเท่านั้นเอง)

ถ้าได้บวชกันแล้วก็ระวังๆเรื่องนี้ด้วยนะครับ

(5) เงิน

เวลาออกไปบิณฑบาตมักจะมีญาติโยมถวายปัจจัยครับ ตามแต่กำลังและความเหมาะสมของแต่ละคน ซึ่งจริงๆแล้วมันอาบัตินะครับ พระเลยต้องปลงอาบัติกันทุกคืนเพราะเรื่องนี้แหละ 555

แต่จริงๆแล้วมันก็อยู่ที่เจตนาด้วยครับ เวลาเราเป็นพระแล้วถ้าเราได้รับปัจจัยมาก็ไม่ต้องไปขุ่นเคืองอะไร และก็ไม่ต้องไปคิดถึงลาภผลอะไรตรงนั้น เขาให้มาก็รับเฉยๆไม่ต้องคิดอะไร จากนั้นค่อยนำไปบริจาคทำประโยชน์ให้คนอื่นก็ได้ครับ แล้วจะปลงอาบัติก็โอเคแหละครับ ของอย่างนี้มันอยู่ที่ใจจริงๆน่ะแหละ แค่ไม่ได้ยินดีในลาภผลนั้นก็เป็นใช้ได้แล้ว (แต่ก็ไม่ต้องขุ่นมัวนะครับ จะเป็นบาปเป็นโทษไปอีก)

และอีกเรื่องที่อยากจะบอกก็คือ บางทีก็อาจอนุโลมได้เรื่องการซื้อของด้วยปัจจัยครับ

ในบางกรณี เช่น ต้องเดินทางไปกิจนิมนต์โดยที่เจ้าภาพไม่ได้ขับรถพาไป แบบนี้ทำได้ครับเพราะช่วยไม่ได้จริงๆ ก็ต้องปลงอาบัติครับ ส่วนอีกกรณีคือไปบิณฑบาตแล้วทางสายนั้นไกลมาก กว่าจะเดินกลับวัดมาก็สายแล้ว (จะฉันรวมกันประมาณเจ็ดโมงครึ่งครับ ซึ่งถ้าเดินกลับไม่ทันแน่ๆสำหรับสายนั้น) แบบนี้อนุโลมให้นั่งแทกซี่กลับมาได้ครับ แล้วก็ปลงอาบัติ ซึ่งวันแรกตอนผมบวชก็ต้องนั่งแท็กซี่มากับพระพี่เลี้ยงนั่นแหละครับ แต่วันหลังๆมีโยมอุปัฎฐากช่วยขับระกระบะไปส่งให้ ก็เรียกได้ว่าสบายใจขึ้นเยอะครับ ต้องอนุโมทนาจริงๆ

เคสสุดท้ายจริงๆคือซื้อหนังสือธรรมะในวัดครับ!

อยากจะฝากว่าสุดท้ายเรื่องแบบนี้อยู่ที่ใจครับ ใจเป็นประธาน ถ้าเจตนาเราไม่ได้จะเอาเงินไปซื้อของมาบำเรอกามหรือเพื่อให้มีส่วนเกินไปจากความเป็นพระ ผมว่าก็โอเคแล้ว เวลาเราเป็นฆราวาสก็อย่าเพิ่งไปตัดสินพระจากการกระทำภายนอกโดยที่ไม่ได้สืบสาวความจริงครับ เดี๋ยวหน้าแตกไม่พอจะเป็นอกุศลทางใจไปเปล่าๆด้วย

(6) ปัจจัยสี่ 

ตอนบวชเป็นพระจะต้องท่องบทต่างๆที่ว่าด้วยการใช้สอยปัจจัยสี่อย่างสำรวมระวัง (จีวร อาหาร ยารักษาโรค และที่นอน) ข้อนี้แสดงให้เห็นถึงความสมถะ เรียบง่าย ของผู้ถือบวชอย่างชัดเจนที่สุดครับ ว่าตลอดการใช้สอยนั้นก็สักแต่ว่าใช้สอยไปเท่านั้น ไม่ได้ฉันเพื่อให้เกิดกำลังพลังทางกายส่วนเกิน ความเอร็ดอร่อย หรือความสะดวกสบาย และเพื่อให้สามารถรักษากายนี้ เอาไว้ทำประโยชน์อื่นๆต่อไปมากกว่าครับ

ข้อคิดเรื่องนี้ทำให้กลับมาดูตัวเองตอนที่เป็นฆราวาส ว่าจริงๆแล้วเราจำเป็นต้องมีอะไรบ้างในชีวิตนี้ ถึงที่สุดแล้วเมื่อหนีความตายไปไม่พ้น การใช้สอยปัจจัยสี่อย่างสำรวมระวัง ย่อมเป็นประโยชน์ต่อทั้งตนเองและผู้อื่น คือ เป็นประโยชน์ต่อตนเองในแง่ของการเจริญสติ ปฏิบัติธรรมเจริญภาวนากันตามสมควร และเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นในแง่ของการประหยัดทรัพยากรในสังคม ทรัพยากรส่วนเกินใดที่เหลือก็สามารถนำไปปันให้กับผู้ที่ยังไม่มีได้ แทนที่จะมาสิ้นเปลืองกับตัวเราเพียงคนเดียวเพื่อปรนเปรอความสุขสบาย ผมว่านี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ และหวังว่าผู้ที่มีโอกาสบวชจะได้เห็นความสำคัญในเรื่องนี้มากๆครับ

ส่วนใครที่ยังไม่เคยบวช จะพิจารณาดูกันก็ไม่เสียดายแต่ประการใดเลยครับ...



PS.
ขอขอบคุณรูปภาพจากเว็บไซต์ดังนี้ครับ

http://www.oknation.net/blog/print.php?id=133186
http://www.toodong.com
http://news.tlcthai.com/news/104692.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น